วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

ความรู้ที่น่าสนใจ

1)5 อันดับมหานครใหญ่ที่สำคัญของโลก
2)ระวัง...อาหารโซเดียมสูง
3)เยอรมนีติดเชื้อหวัดเม็กซิโก3จีนโต้ข่าวต้นต่อ
4)ความเป็นมาของโรคเอดส์


แหล่งที่มา
http://www.igetweb.com/www/iteen/index.php?mo=14&newsid=67308
5 อันดับมหานครใหญ่ที่สำคัญของโลก

วอชิงตัน ดี.ซี.


วอชิงตัน ดีซี (District of Columbia) เป็นเมืองหลวงของสหรัฐอเมริกาที่สวยงามมาก ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำโปโตแมค (Potomac) มีลักษณะที่เป็นเมืองพิเศษที่แตกต่างจากเมืองอื่น ๆ ของสหรัฐอเมริกาหรือของโลก เพราะกรุงวอชิงตันเป็นเมืองอิสระไม่ขึ้นกับรัฐใด แต่ก็ไม่มีฐานะเป็นรัฐ แต่เป็นสถานที่ตั้งของรัฐบาลกลางสหรัฐ เนื่องจากสหรัฐอเมริกานั้นมีรัฐอยู่แห่งหนึ่งชื่อ รัฐวอชิงตัน (Washington State) ซึ่งทำให้เรามักสับสนกับเมือง วอชิงตัน ดี.ซี.ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกระหว่างรัฐเวอร์จิเนียร์กับแม่รี่แลนด์ แต่รัฐวอชิงตันนั้นเป็นรัฐใหญ่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เหนือแคลิฟอร์เนียขึ้นไป มีเมืองหลวงของรัฐชื่อ ซีแอตเติ้ล

วอชิงตัน ดี.ซี. นี้นำมาจากชื่อของ จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา บวกกับชื่อ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา ภายหลังจากอเมริกาได้รับอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษแล้ว ก็มีการย้ายเมืองหลวงไปในที่ต่าง ๆ กันหลายครั้ง จนในปี ค.ศ. 1790 จอร์จ วอชิงตัน จึงได้เลือกดินแดนที่เป็นวอชิงตันทุกวันนี้เป็นเมืองหลวงถาวร มีการวางผังเมืองและก่อสร้างอาคารต่าง ๆ มากมาย อาคารที่สำคัญคือ ตึกรัฐสภา ไวท์เฮ้าท์ทำเนียบประธานาธิบดี นอกจากนั้นก็ได้สร้างอาคารที่ทำการของรัฐบาลเพิ่มเติมอีกหลายแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสถาปัตยกรรมแบบกรีกเป็นส่วนใหญ่

สถานที่ท่องเที่ยว
หัวใจของกรุงวอชิงตันดีซี คือบริเวณรอบ ๆ และใกล้เคียง The Mall อันเป็นสนามหญ้ากว้างยาวทอดตัวระหว่าง อนุสาวรีย์ลินคอล์นกับอาคารรัฐสภา แหล่งท่องเที่ยวในวอชิงตันนี้แบ่งได้เป็น 4 ประเภทด้วยกัน คือ พิพิธภัณฑ์ ที่ทำการของรัฐบาล อนุสาวรีย์ และแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ
The Smithsonian Institute พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะประกอบไปด้วยพิพิธภัณฑ์ 13 แห่ง และสวนสัตว์ 1 แห่ง มีให้ดูตั้งแต่หินดินทรายไปจนถึงยานอวกาศ เหมาะสำหรับทุกคนที่ชมชอบการค้นคว้าหาความรู้
อาคารไวท์เฮ้าส์ หรือทำเนียบประธานาธิบดีของอเมริกา สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1792 และถูกเผาไปในปี ค.ศ. 1814 ตอนถูกอังกฤษรุกราน จึงได้สร้างขึ้นมาใหม่โดยทาสีขาวทั้งหลัง ได้มีการขยับขยายให้ใหญ่ขึ้นโดย ประธานาธิบดีรูสเวลท์
U.S. Capitol หรือตึกรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่สุดทางด้านทิศตะวันออกของ The Mall นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 9.00 น.-15.45 น. ทุกวัน เมื่อเข้าไปในตัวตึก ห้องแรกที่ใช้ต้อนรับนักท่องเที่ยวคือ ห้องโถงกลมอันโอ่อ่ามีภาพเขียนยักษ์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อเมริกาเรียงรายอยู่รอบห้อง ที่สำคัญคือ คำประกาศอิสรภาพและรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ตั้งแสดงอยู่ด้วย
Washington Monument อนุสาวรีย์ ยอร์ช วอชิงตัน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของ The Mall เป็นแท่งเสาหินอ่อนสูง 555 ฟุต ซึ่งและเห็นได้แต่ไกล สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์และเป็นเกียรติแก่ จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา
Lincoln Memorial อนุสาวรีย์ลินคอล์น ตั้งอยู่สุดทางทิศตะวันตกของ The Mall เป็นอาคารที่สร้างด้วยหินอ่อนเป็นสถาปัตยกรรมแบบกรีกเสาแบบดอริค 38 ต้นที่เรียงรายรอบอาคารหมายถึง 38 มลรัฐซึ่งรวมกันเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดี ลินคอล์น และภายในอาคารมีอนุสาวรีย์ของประธานาธิบดีลินคอล์นในท่านั่งประดิษฐานอยู่ ทางกำแพงด้านซ้ายได้จารึกสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีลินคอล์นที่กล่าว ณ Gettysburg อันเป็นอมตพจน์ที่ได้รับการยกย่องว่าจับในอเมริกันยิ่งนัก "The government of the people, by the people, for the people"
Vietnam Veterans Memorial อนุสาวรีย์ทหารรบเวียดนาม ตั้งอยู่ใกล้ ๆ อนุสาวรีย์ลินคอล์น เป็นอนุสาวรีย์เพื่ออุทิศให้แก่ทหารอเมริกันที่เสียชีวิตในสงครามเวียดนาม ลักษณะอนุสาวรีย์เป็นกำแพงหินแกรนิตสีดำ จารึกชื่อทหารอเมริกันที่เสียชีวิตหรือหายสาบสูญในสงครามเวียดนาม 58,000 นาย
Korean War Memorial อนุสาวรีย์รบเกาหลี ตั้งอยู่ถัดจากอนุสาวรีย์ทหารเวียดนาม เพิ่งเปิดเมื่อ ค.ศ. 1995 เป็นรูปหล่อด้วยเหล็กกล้าขัดเงาจำนวน 19 รูปของทหารเหล่าต่าง ๆ ของสหรัฐที่ร่วมรบในสงครามเกาหลีในท่ากำลังขึ้นเขา สวมเสื้อฝน มือถือปืน ใบหน้าสะท้อนถึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าและหวาดกลัว
Jefferson Memorial อนุสาวรีย์โทมัส เจฟเฟอร์สัน อยู่สุดถนน 15 th street ไม่ไกลจากอนุสาวรีย์ลินคอล์นเช่นกัน ติดริมทะเลสาบจำลอง Tidal Basin เป็นอนุสาวรีย์สร้างอุทิศแก่ Thomas Jefferson ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐ และผู้ร่างคำประกาศอิสรภาพ เป็นรูปสลักสูง 19 ฟุตของโทมัส เจฟเฟอร์สันประดิษฐานเด่นเป็นสง่า สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของกรุงวอชิงตัน ดีซี ดูงดงามยิ่ง


นิวยอร์ก

นครนิวยอร์ก หรือที่นิยมเรียกกันว่า นิวยอร์กซิตี้ (New York City - NYC) เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา จัดได้ว่าเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน วัฒนธรรม และบันเทิงที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก และยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ อีกด้วย
นิวยอร์กตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วย 5 เขตปกครองที่เรียกว่า โบโรฮ์ (Borough) คือ เดอะบรองซ์ บรูคลิน แมนแฮตตัน ควีนส์ และสแตตัน ไอส์แลนด์ ภายในพื้นที่ 790 ตร.กม. นอกจากจะเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดแล้ว สัดส่วนพื้นที่ต่อประชากรยังถือว่าหนาแน่นที่สุดในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
ลักษณะเฉพาะของนิวยอร์กที่แตกต่างไปจากเมืองแห่งอื่นของสหรัฐอเมริกา มีให้เห็นหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่ระบบขนส่งที่มีโครงข่ายขนาดใหญ่ มีภาษาประมาณ 170 ภาษาที่ใช้กัน ระบบรถไฟใต้ดินนครนิวยอร์กที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง บวกกับการจราจรและผู้คนที่พลุกพล่านอยู่ตลอดเวลา จึงมีคำเปรียบเปรยถึงนิวยอร์กว่าเป็น “เมืองที่ไม่เคยหลับใหล” ขณะเดียวกันเมืองแห่งนี้ยังมีชื่อเล่นอื่นๆ อีกด้วยอย่าง “กอร์ทเทม” (Gotham) และ “บิ๊กแอปเปิล” (Big Apple)

สถานที่ท่องเที่ยว
นิวยอร์กมีสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในเกาะแมนแฮตตัน นักท่องเที่ยวมักจะแวะตามที่สถานที่เที่ยวที่มีชื่อเสียงได้แก่ ตึกเอมไพร์เสตต ตึกไครส์เลอร์ ไทม์สแควร์ เทพีเสรีภาพ วอลล์สตรีต สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ โบสถ์เซนต์แพทริก สะพานบรูกลิน เรือบรรทุกเครื่องบินอินทรีพิด
แหล่งชอปปิ้งมากมายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว ได้แก่ บริเวณ ฟิฟท์อเวนูสำหรับของมียี่ห้อและเครื่องประดับ ห้างสรรพสินค้าเมซีส์ (Macy's) ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ เฮอรัลด์สแควร์ที่มีขายของหลายระดับ กรีนวิชวิลเลจมีของขายเกี่ยวกับซีดีเพลงและหนังสือ อีสต์วิลเลจสำหรับขายของที่น่าสนใจ ถนน 47th ช่วงระหว่าง ฟิฟท์อเวนู และซิกซ์อเวนู ขายเครื่องประดับและอัญมนี โซโหแหล่งชอปปิ้งเสื้อผ้าชั้นนำต่างๆ เชลซีสำหรับการซื้อขายงานศิลป์ นอกจากในเขตแมนแฮตตันยังมีบริเวณดาวน์ทาวน์บรูคลิน และบริเวณควีนส์บูเลอวาร์ดในควีนส์ สำหรับแหล่งชอปปิ้งอื่นๆ
ในช่วงวันสิ้นปี บริเวณไทมส์แสควร์จะมีผู้คนหลายแสนคนไปรวมกันเพื่อไปเคานต์ดาวน์ ต้อนรับงานปีใหม่ และในช่วงวันขอบคุณพระเจ้า ทางห้างเมซีส์ จัดขบวนพาเหรดทุกปี บริเวณถนนบอร์ดเวย์
พิพิธภัณฑ์ที่เป็นที่รู้จักในนิวยอร์กได้แก่ Metropolitan Museum of Art (เดอะเม็ต) Museum of Modern Art (โมมา) และ American Museum of Natural History

ลอนดอน

เป็นเมืองหลวงของอังกฤษ และสหราชอาณาจักร และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสหภาพยุโรป ลอนดอนเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญทางธุรกิจ การเมือง วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของโลก เป็นผู้นำด้านการเงิน การเมือง การสื่อสาร การบันเทิง แฟชั่น และศิลปะ และเป็นที่ยอมรับว่ามีอิทธิพลไปทั่วโลก ถือกันว่าเป็นเมืองสากลหลักของโลก
ปัจจุบันลอนดอนเป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่มากที่สุดในภาคพื้นยุโรป เรียกได้ว่ามีคนจากทุกประเทศในโลกที่เข้ามาอาศัยอยู่ในลอนดอน การเดินทางในลอนดอนจึงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับทุกคน แต่เมืองใหญ่ระดับนี้ เค้ามีแผนการรองรับมาตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว โดยระบบหลักที่เป็นหน้าเป็นตาให้แก่เมืองใหญ่แบบนี้คงหนีไม่พ้นระบบรถไฟใต้ดิน “London Underground” ได้ชื่อว่าเป็นระบบขนส่งมวลชนที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในโลก และรถไฟใต้ดินสายแรกของโลกเกิดขึ้นที่นี่ด้วย โดยเริ่มเปิดให้บริการสายแรกเมื่อปี คศ. 1863 ระหว่างสถานีแพดดิงตัน ( Paddington Station ) ถึงสถานีฟาริงดอน ( Farringdon Station ) รวมระยะเวลาจนถึงปัจจุบันก็ปาเข้าไป144 ปีแล้ว ที่ชาวลอนดอนมีรถไฟใต้ดินไว้เป็นพาหนะสำหรับเดินทาง ระบบขนส่งมวลชนทั้งหมดนี้ดูแลโดย Transport for London และเพื่อไม่ให้เกิดการแออัดของใจกลางเมือง ได้แบ่งเขตการเดินทางออกเป็น 6โซน โดยโซนชั้นในสุด เรียกว่าโซน 1 มีค่าเดินทางเข้ามาในเขตนี้แพงที่สุด และราคาค่าเดินทางก็ลดหลั่นกันลงไป


สถานที่ท่องเที่ยว
City of Westminster เขตนี้เรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในลอนดอน เพราะไล่เรียงตั้งแต่ หอนาฬิกาบิ๊กเบน, จัตุรัสทราฟัลการ์สแควร์, ไชน่าทาวน์, พิคคาดิลลี่ เซอร์คัส, พระราชวังบัคกิ้งแฮม ล้วนอยู่ในเขตนี้ทั้งสิ้น
City of London เขตเก่าแก่ตั้งแต่สมัยยุคโบราณ เขตการค้า การเงิน การธนาคาร หัวใจสำคัญของกรุงลอนดอนเลยก็ว่าได้ มหาวิหารเซนต์ปอล คือสถานที่ท่องเที่ยวหลักที่สำคัญในเขตนี้
London Borough of Tower Hamlets เขตนี้ก็ได้แก่ หอคอยแห่งลอนดอน, ท่าเรือเซนต์ แคทเธอรีน ด๊อคส์, ดีไซน์ มิวเซียม เป็นต้น
London Borough of Kensington and Chelsea เขตนี้ย่านเศรษฐี ห้างแฮร็อดส์, ไฮสตรีทเคนซิงตัน, พระราชวังเคนซิงตัน ( พระราชวังทีพำนักของเลดี้ไดอาน่าเมื่อครั้งยังมีชีวิต ) และ โรยัลอัลเบิร์ต ฮอลล์ เป็นต้น

ปารีส

ปารีส เป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน บริเวณตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส บนใจกลางแคว้นอีล-เดอ-ฟรองซ์ จากการตั้งถิ่นฐานมากว่า 2 พันปี ปัจจุบันกรุงปารีสเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ล้ำสมัยแห่งหนึ่งของโลก และด้วยอิทธิพลของการเมือง การศึกษา บันเทิง สื่อ แฟชั่น วิทยาศาสตร์และศิลปะ ทำให้กรุงปารีสเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

สถานที่ท่องเที่ยว
หอไอเฟล สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการปฏิวัติฝรั่งเศสครบรอบ 100 ปี เพื่อแสดงถึงศักยภาพของประเทศฝรั่งเศสในด้านวิศวกรรมศาสตร์แค่ "ชั่วคราว" เท่านั้น ซึ่งสิ่งก่อสร้างชิ้นนี้ได้กลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกจนถึงปี พ.ศ. 2473 และกลายเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีสไปโดยปริยาย
Musée d’Orsay พิพิธภัณฑ์ผลงานศิลปะแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ มีงานสวยๆมากมายของโมเน่ต์ มาเน่ต์ เลอนัวร์ โกแกง แวนโก๊ะ เซซานน์ และท่านอื่นๆ อีกมากมาย
ประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de triomphe de l'Étoile) เป็นอนุสรณ์สถานที่สำคัญในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่กลางจัตุรัสชาร์ลส์ เดอ โกลล์ (Place Charles de Gaulle) หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม จัตุรัสแห่งดวงดาว อยู่ทางทิศตะวันตกของชองป์-เซลิเซ่ส์ ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามนโปเลียน และในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย
มหาวิหารนอเทรอดาม (Cathédrale Notre-Dame de Paris) เป็นมหาวิหารสมัยกอธิค ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส คำว่า Notre Dame ในชื่อวัดนั้นแปลว่า "Our Lady" ปัจจุบันมหาวิหารก็ยังใช้เป็นวัดของนิกายโรมันคาทอลิกและเป็นที่นั่งของอัครบาทหลวงแห่งปารีส มหาวิหารนอเทรอดามถือกันว่าเป็นวัดที่สวยงามที่สุดในในลักษณะกอธิคแบบฝรั่งเศส วัดนี้ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์โดยเออแชน วีโยเล-เลอ-ดุก (Eugène Viollet-le-Duc) ผู้เป็นสถาปนิกคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของฝรั่งเศส


เซี่ยงไฮ้

ช่างไห่ หรือ เซี่ยงไฮ้ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำแยงซีเกียง มีท่าเรือที่มีจำนวนเรือคับคั่งที่สุดในโลก ตามมาด้วยสิงคโปร์ และร็อตเตอร์ดัมเซี่ยงไฮ้ในอดีตเป็นแค่หมู่บ้านชาวประมง แต่ในปัจจุบันเซี่ยงไฮ้กลายเป็นเมืองที่มีคนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นมากที่สุดในจีน เต็มไปด้วยร้านค้า สิ่งก่อสร้าง ถนนเต็มไปด้วยรถ จักรยานและ ผู้คน สิ่งที่จะเห็นเยอะมากในเมืองนี้ หรือจะเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้เห็นจะเป็นต้นเมเปิลที่มีอายุเกือบร้อยปี ซึ่งปลูกโดยในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองเซี่ยงไฮ้
มหานครเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ได้รับการขนานนามว่าเป็น "นครปารีสแห่งตะวันออก" ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มมหานครไฮโซอันดับ 5 ของโลก ปัจจุบันนับเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของโลก และมีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศจีน เป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญในด้านต่างๆ ของภูมิภาค ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การเงิน การลงทุน รวมถึง ด้านแฟชั่น และการท่องเที่ยว โดยการผลักดันของรัฐบาลซึ่งให้นครเซี่ยงไฮ้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำ และเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย เซี่ยงไฮ้จึงนับเป็นความภูมิใจของชาวจีน โดยเฉพาะชาวเมืองซึ่งถือกันว่าเมืองของตนเป็นสัญลักษณ์ของจีนยุคใหม่ ในด้านความก้าวหน้า และทันสมัย

สถานที่ท่องเที่ยว
เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่มีการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรม ทั้งของจีนและตะวันตกได้อย่างกลมกลืน โดยจะเห็นได้จากอาคารสถาปัตยกรรมในยุคอาณานิคมตามเขตเช่าเดิมของชาวตะวันตก ซึ่งในปัจจุบันกลายมาเป็น สัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของเมือง
ในเขตเมืองเก่าบริเวณสวน Yuyuan ที่ถูกสร้างในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งยังคงไว้ด้านรูปแบบอาคารสถาปัตยกรรมแบบจีน ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ขายของที่ระลึกและศิลปะต่างๆ
ถนนหนานจิง อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญอันหนึ่งของช่างไห่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและ เป็นถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยแหล่งร้านค้าสินค้าต่าง ๆ รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่มาจับจ่ายซื้อสินค้ามากมาย
หนึ่งในย่านนั้นมีอาคารจินเหมาทาวเวอร์ ซึ่งเป็นตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในประเทศจีน (ในปัจจุบัน อาคารเซี่ยงไฮ้เวิร์ดไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์ ได้กลายเป็นอาคารที่สูงที่สุดแล้ว แต่อยู่ช่วงระหว่างการก่อสร้าง)
นอกจากนั้นเซี่ยงไฮ้ยังเป็นเมืองทันสมัยอันดับที่ 25 ของโลกจาก 53 เมืองใหญ่ทั่วโลก เช่น ปักกิ่ง มอสโก นิวยอร์ก โตเกียว ลอนดอน และปารีส



แหล่งที่มา
http://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Dokya/D117/017.html

ระวัง... อาหารโซเดียมสู

"เค็ม" ...เป็นอีกรสชาติหนี่งที่ทำให้อาหารอร่อยขึ้น จนคนส่วนใหญ่เผลอใจ ติดรสเค็มโดยไม่รู้ตัว และอาจไม่รู้ว่าตามหลักโภชนบัญญัตินั้น เขาแนะนำให้ประชาชน บริโภคน้ำมัน น้ำตาล และเกลือ น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เช่น คนในวัยผู้ใหญ่ควรได้รับโซเดียมประมาณวันละ ๒๓๐ มิลลิกรัม หรือประมาณ ๑ ใน ๑๐ ของ ๑ ช้อนชา เท่านั้น

(ปริมาณสูงสุดที่องค์การอนามัยโลก กำหนดไว้คือ วันละ ๖ กรัม ซึ่งมีโซเดียม อยู่ ๒,๔๐๐ มิลลิกรัม)

หากเรากินอาหารรสเค็มจัดที่ได้จากเกลือโซเดียม มากกว่า ๖ กรัมต่อวัน หรือมากกว่า ๑ ช้อนชาขึ้นไป เป็นประจำ ก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคลมปัจจุปัน (หรือโรคหลอดเลือดสมองแตก) โรคหัวใจ และ ไตวาย รวมทั้ง โรคกระดูกพรุน ขณะเดียวกันคนที่เริ่มเป็น โรคต่างๆ ข้างต้นนั้น ก็ต้อง ระมัดระวังอาหารที่มีโซเดียมสูง อย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ในโรคที่เป็นอยู่ หรือกลายเป็นโรคเรื้อรังที่รักษายาก และอาจเป็น อันตรายถึงแก่ชีวิตได้


*** โซเดียมคืออะไร
โซเดียมคือ เกลือแร่ (สารอาหาร) ชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยโซเดียมจะทำหน้าที่ควบคุม ความสมดุลของของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิต ให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยในการทำงาน ของประสาทและกล้ามเนื้อ (รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจด้วย) ตลอดจนการดูดซึมสารอาหาร บางอย่าง ในไตและลำไส้เล็ก

โซเดียมที่เราบริโภคกันเป็นประจำก็คือโซเดียมที่อยู่ในรูปของ เกลือแกง (เกลือ มีส่วนประกอบอยู่ ๒ อย่าง คือโซเดียมกับคลอไรด์) น้ำปลา ซึ่งมีรสเค็ม แต่ยังมีอาหารอีกมากชนิดที่ไม่มีรสเค็ม แต่มีโซเดียม แฝงอยู่สูงมาก ชนิดที่หลายคนคาดไม่ถึง จึงเป็นความจำเป็นที่เราทุกคน ต้องรู้ว่าอาหารชนิดใดบ้าง ที่มีโซเดียมสูง เพื่อจะได้ไม่เผลอกินเพลินจนเจ็บป่วย ซึ่งจากการสำรวจพบว่าคนไทยกินเกลือ ที่มีอยู่ ในอาหารและเครื่องปรุงรส โดยเฉลี่ยวันละประมาณ ๗ กรัม นี่เป็นคำตอบว่าทำไมคนไทย จึงป่วย ด้วยโรค จากการกินเพิ่มขึ้นทุกวัน

*** อาหารที่มีโซเดียม ได้แก่
๑. อาหารธรรมชาติ หลายคนอาจ เพิ่งทราบว่าโซเดียมมีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติแทบทุกชนิด โดยอาหารจาก เนื้อสัตว์ต่างๆ จะมีโซเดียมสูง ส่วนอาหารธรรมชาติที่มีโซเดียมต่ำ ได้แก่ ผลไม้ทุกชนิด ผัก ธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้ง และเนื้อปลา ซึ่งอาหารสดเหล่านี้มีปริมาณโซเดียมที่เพียงพอ กับความต้องการของร่างกาย โดยไม่จำเป็นต้อง เรียกหาเครื่องปรุงรสใดๆ เลย (นอกจากความอยาก หรือกิเลสส่วนตัวเรียกร้อง)

๒. อาหารแปรรูปหรือการถนอมอาหาร ได้แก่ อาหารกระป๋องทุกชนิด อาหารหมักดอง อาหารเค็ม อาหารตากแห้ง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม ปลาร้า ผักดอง ผลไม้ดอง เป็นต้น

๓. เครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ เช่น เกลือ (ทั้งเกลือเม็ดและเกลือป่น) น้ำปลา (ซึ่งจะมีปริมาณของเกลือ แตกต่างกันคือ ร้อยละ ๒๓-๓๕) ซอสปรุงรสที่มีรสเค็ม (เช่น ซีอิ๊วขาว เต้าเจี้ยว น้ำบูดู กะปิ ปลาร้า ปลาเจ่า เต้าหู้ยี้ รวมทั้งซอสหอยนางรม) ซอสปรุงรสที่ไม่มีรสเค็มหรือเค็มน้อย (เช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก น้ำจิ้มต่างๆ ที่มีรสเปรี้ยวๆ หวานๆ ซอส เหล่านี้แม้จะมีโซเดียมปริมาณไม่มากเท่าน้ำปลา แต่คนที่ต้องจำกัดโซเดียมก็ต้องระวังไม่กินมากเกินไป)

๔. ผงชูรส แม้เป็นสารปรุงรสที่ไม่มีรสเค็ม แต่ก็มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วยประมาณร้อยละ ๑๕ และที่เรารู้ๆ กันอยู่ก็คือ อาหารสำเร็จรูปต่างๆ ที่ขายในท้องตลาด มักมีการเติมผงชูรสลงไป แทบทุกชนิด เพื่อให้อาหารมีรสอร่อยขึ้น หรือแม้การปรุงอาหารในบ้าน หลายครัวขาดผงชูรสไม่ได้เลย (ความอร่อยนี้เป็นสิ่งเสพติดที่มีโทษต่อสุขภาพ)

๕. อาหารกระป๋องต่างๆ เช่น ผลไม้กระป๋อง ปลากระป๋อง และอาหารสำเร็จรูปต่างๆ ขนมกรุบกรอบ เป็นถุง เป็นต้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีการเติมเกลือหรือสารกันบูด ซึ่งมีโซเดียมในปริมาณที่สูงมาก

๖. อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่ โจ๊ก ข้าวต้ม ซุปต่างๆ ทั้งชนิดก้อนและชนิดซอง

๗. ขนมต่างๆ ที่มีการเติมผงฟู (Baking Powder หรือ baking Soda) เช่น ขนมเค้ก คุกกี้ แพนเค้ก ขนมปัง ซึ่งผงฟูที่ใช้ในการทำขนมเหล่านี้มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ (โซเดียมไบคาร์บอเนต) รวมถึงแป้งสำเร็จรูป ที่ใช้ทำขนมเองก็มี โซเดียมอยู่ด้วย เพราะได้ผสมผงฟูไว้แล้ว

๘. น้ำและเครื่องดื่ม น้ำฝนเป็นน้ำที่ปราศจากโซเดียม แต่น้ำบาดาลและน้ำประปามีโซเดียมปนอยู่บ้าง ในจำนวนไม่
มากนัก ส่วนเครื่องดื่มเกลือแร่ยี่ห้อต่างๆ มีการเติมสารประกอบของโซเดียมลงไปด้วย เพราะมี จุดประสงค์ ให้เป็นเครื่องดื่ม สำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่สูญเสียเหงื่อมาก ส่วนน้ำผลไม้บรรจุกล่อง ขวด หรือกระป๋อง ก็มักมีการเติมสารกันบูด (โซเดียมเบนโซเอต) ลงไปด้วย ทำให้น้ำผลไม้เหล่านี้ มีโซเดียมสูง วิธีหลีกเลี่ยงคือดื่ม น้ำผลไม้สดจะดีกว่า

โดยภาพรวมจะเห็นว่าอาหารปรุงแต่ง มาก อาหารแปรรูปที่ผ่านกระบวนการต่างๆ จะมีโซเดียมสูง ดังนั้น ถ้ากินอาหารแปรรูป หรืออาหารสำเร็จรูปมากหรือบ่อยเท่าไหร่ เราก็จะได้รับโซเดียมส่วนเกิน วันละเยอะแยะ มากมาย ทั้งที่ความจริงแล้ว ร่างกายต้องการเกลือ ในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะร่างกายไม่สามารถทนรับเกลือ ในปริมาณมากๆ ได้ โดยเฉพาะทารกและเด็กเล็ก ที่ไม่สามารถ ขับถ่ายโซเดียมได้ดี เท่ากับผู้ใหญ่ ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่ควรเติมเกลือในอาหารของลูกเล็กๆ หรือซื้ออาหาร สำเร็จมาให้ลูกกิน (ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ) ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขเอง ก็มีประกาศในเรื่องนี้ อย่างเคร่งครัด ที่ห้ามผู้ผลิตเติมเกลือหรือสารประกอบโซเดียมใดๆ ในอาหารเด็ก (แต่ก็ต้องระวัง เพราะอาจจะมีหลงหู หลงตาไปบ้าง)

*** กินเกลือให้น้อยลง
อย่างที่ได้ทราบกันแล้วว่าอาหารหลายชนิดมีเกลือ "ซ่อนเร้น" อยู่ ดังนั้นวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยลดการบริโภค เกลือลงคือ พยายามใช้เกลือ (น้ำปลา หรือซีอิ๊ว) ให้น้อยลงในการประกอบอาหาร หรือปรุงรสเวลากิน และอย่าลืมอ่านฉลากอาหาร ต่างๆ ทุกครั้งก่อนซื้อมากิน หรือคนที่ อ่านฉลากเสมอบางคน ก็ดูแค่เพียง ปริมาณแป้ง ไขมัน หรือน้ำตาลเท่านั้น แต่ลืมดูปริมาณของโซเดียม โดยทั่วไปฉลากอาหาร มักระบุปริมาณเกลือในรูปปริมาณโซเดียม วิธีเทียบหาปริมาณเกลือคือ ถ้าหน่วยของโซเดียม ที่ให้มา เป็นกรัม (ก.) ให้คูณด้วย ๒.๕ แต่หากหน่วยเป็นมิลลิกรัม (มก.) ให้คูณด้วย ๒.๕ แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้ มาหารด้วย ๑,๐๐๐ ปริมาณโซเดียมที่คนเราต้องการคือ วันละ ๐.๕ - ๒.๓ กรัม

อาหารเค็มจัดหรืออาหารที่มีโซเดียม สูง กำลังก่อให้เกิดโรคกับผู้คนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะ โรคความดันโลหิตสูง ที่ได้ชื่อว่าเป็น "ฆาตกรเงียบ" เพราะมันมาแบบเงียบๆ แบบไม่มีสัญญานเตือน และกว่าจะรู้ตัว ก็ปรากฏว่า เป็นโรคความดันโลหิต สูงไปเสียแล้ว โรคนี้เป็นแล้วไม่หายขาด ขึ้นอยู่กับ การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยรายใด มีวินัยในการกินตามที่แพทย์แนะนำ ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ อย่างปกติสุขตามอัตภาพ แต่หากละเลยการดูแลตัวเอง ในที่สุดก็ จะมีโรคอื่นแทรกซ้อนตามมาอีก มากมาย และเมื่อนั้นความสุขในชีวิตก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆ เพราะมีความทุกข์ ทรมานจากโรคต่างๆ มาเบียดเบียน

ทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากเจ็บป่วย หรือเป็นโรคอยู่แล้วและอยากให้อาการดีขึ้น คือ ต้องหัดกินอาหาร รสจืดให้ได้ เป็นปกติ กินอาหารรสจัดให้น้อยลง แล้วจะรู้ว่า รสจืดก็มีความอร่อย... อร่อยแบบจืดๆ



แหล่งที่มา
http://www.komchadluek.net/detail/20090429/11092/เยอรมนีติดเชื้อหวัดเม็กซิโก3จีนโต้ข่าวต้นต่อ.html

เยอรมนีติดเชื้อหวัดเม็กซิโก3จีนโต้ข่าวต้นต่อ


คมชัดลึก :ประเทศเยอรมนียืนยันมีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก 3 คน จีนโต้ข่าวต้นตอไวรัส ผู้เชี่ยวชาญเร่งศึกษาเชื้อไวรัสทำให้มีผู้เสียชีวิตเฉพาะในเม็กซิโก ด่านกักกันสัตว์เชียงใหม่คุมเข้มเคลื่อนย้ายสุกรข้ามพื้นที่-ช่องทางชายแดน โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวรออกมาตรการเฝ้าระวัง บัวแก้วสั่งทูตไทยประจำแม็กซิโกติดตามอย่างใกล้ชิด

สถาบันโรเบิร์ต คอช ของเยอรมนีที่ดูแลด้านการควบคุมและป้องกันโรคระบาด ประกาศยืนยันวันนี้ว่า มีผู้ป่วย 3 คนติดเชื้อด้วยไข้หวัดเม็กซิโก ทำให้เยอรมนีกลายเป็นประเทศที่สามในทวีปยุโรปที่พบผู้ติดเชื้อ เจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้ติดเชื้อเป็นหญิง 2 คน ชาย 1 คน ทั้งหมดเพิ่งกลับจากเม็กซิโกเมื่อเร็วๆนี้ โดยสองรายอยู่ในรัฐบาวาเรีย และอีกรายอยู่ในเมืองฮัมบูร์ก นอกจากนี้เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบผู้ต้องสงสัยอาจติดเชื้ออีก 4 คน
ส่วนองค์การอนามัยโลกได้ประกาศข้อมูลล่าสุดในวันนี้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด เอ สายพันธุ์ H1N1 ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 105 คน โดยสหรัฐมีผู้ติดเชื้อที่ยืนยันแล้วมากที่สุด 64 คน เม็กซิโก 26 คน แคนาดา 6 คน นิวซีแลนด์ 3 คน อังกฤษ 2 คน สเปน 2 คนและอิสราเอล 2 คน ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกที่ได้รับการยืนยันแล้วมีเพียง 7 คนในเม็กซิโก
นอกจากนี้กระทรวงเกษตรกรรมของจีน แถลงวันนี้ปฏิเสธรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศที่ระบุว่าจีนเป็นแหล่งต้นตอของการระบาดของไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก โดยบอกว่าไม่มีมูลความจริงและมุ่งทำลายภาพลักษณ์ของจีน การชี้แจงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากสื่อบางแห่งรายงานอ้างคำพูดของนายฟิเดล เฮอร์เรรา ผู้ว่าการรัฐเวราครูซของเม็กซิโกที่บอกกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันจันทร์ว่า ไวรัสเริ่มระบาดในจีน
ผู้เชี่ยวชาญเร่งศึกษาทำไมไวรัสไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกทำให้มีผู้เสียชีวิตเฉพาะในเม็กซิโกข่าวต่างประเทศ 29 เมษายน 2552

เร่งศึกษาเชื้อไวรัสทำให้มีผู้เสียชีวิตเฉพาะในเม็กซิโก

ระหว่างที่มีการพบผู้ติดเชื้อในหลายประเทศเพิ่มมากขึ้นจนเกิดความวิตกว่าจะระบาดไปทั่วโลก ด้านผู้เชี่ยวชาญก็กำลังพยายามค้นหาคำตอบว่าเพราะเหตุใดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่ระบาดในเม็กซิโกจึงคร่าชีวิตเฉพาะผู้ติดเชื้อในเม็กซิโกซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวและวัยทำงานซึ่งน่าจะมีภูมิต้านทานดีที่สุด นอกจากนี้ผู้ป่วยในเม็กซิโกยังมีอาการรุนแรงกว่าผู้ติดเชื้อในประเทศอื่นๆ
โฮเวิร์ด มาร์เกล ผู้อำนวยการศูนย์ประวัติศาสตร์การแพทย์มหาวิทยาลัยมิชิแกน บอกว่า อาจมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงมากในเม็กซิโก โดยผู้เสียชีวิตเหล่านั้นอาจมีปัจจัยร่วมอยางอื่น เช่น ได้รับประทานยา หรือ มีการติดเชื้อชนิดอื่นอยู่ก่อนแล้วทำให้มีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น และผู้เสียชีวิตมีสภาพร่างกายหรือปัจจัยทางพันธุกรรมที่จะเป็นโรคได้ง่าย รวมทั้งยังอาจมีปัจจัยซ้ำซ้อน เช่น มีภาวะขาดสารอาหาร สภาพที่อยู่อาศัยที่ไม่ดี หรือ อยู่ในพื้นที่แออัด

นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญกังวลกับข้อเท็จจริงที่ว่า การระบาดของไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกทำให้มีผู้เสียชีวิตในกลุ่มวัยหนุ่มสาวและวัยทำงาน ทั้งที่คนกลุ่มนี้น่าจะมีภูมิต้านทานที่ดีที่สุด มาร์เกล บอกว่า สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะระบบภูมิคุ้มกันของคนที่แข็งแรงมีการทำงานมากเกินไป ทำให้ร่างกายผลิตสารต่างๆออกมาในปริมาณมากเกินไปเพื่อกำจัดเชื้อโรค และปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อโรคที่มากเกินไปนี้จะทำให้มีของเหลวคั่งในปอดและเกิดภาวะระบบหายใจล้มเหลว
แต่ฆูลิโอ เฟรงค์ อดีตรัฐมนตรีสาธารณสุขเม็กซิโก มีความเห็นแตกต่างกัน เขาบอกว่า เชื้อโรคอาจคร่าชีวิตคนที่ไม่แข็งแรงเพราะสภาพชีวิตความเป็นอยู่ และปัจจัยอื่นในตัวผู้ติดเชื้อ เช่น ภูมิคุ้มกันไม่ดีพอ และอาจไม่ได้รับประทานยาต้านไวรัสอย่างทันที


รพ.มหาวิทยาลัยนเรศวรออกมาตรการเฝ้าระวัง

ผศ.พญ.พิริยา นฤขัตรพิชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวถึงความพร้อมในการรับมือและเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่แม็กซิโกว่า หลังจากการระบาดของเชื้อโรคดังกล่าว ทำให้กระทรวงสาธารณสุขได้กำชับทุกโรงพยาบาลให้มีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ครอบคลุมการรักษาในเขตภาคเหนือตอนล่าง ที่จะต้องมีการตรวจสอบและคัดกรองตลอด 24 ชม.หากพบผู้ป่วยต้องสงสัยที่เป็นไข้หวัดใหญ่ หรือ ไข้หวัดต้องสงสัย ก็จะแยกห้องคอยเฝ้าดูอาการ
นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้มีการเตรียมยา “ ทามีฟูล์ ” ไว้อีกเท่าตัว ถึงแม้ว่ายาดังกล่าวจะใช้ในการรักษาของโรคไข้หวัดนก แต่ก็สามารถนำมารักษาของไข้หวัดหมูได้ อย่างไรก็ตามก็ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกเกี่ยวกับการรับประทานหมูแล้วติดเชื้อไข้หวัดใหญ่เม็กซิโกได้ เนื่องจากเชื้อดังกล่าวจะต้องเกิดจากคนสู่คน ประกอบกับหมูในประเทศไทยไม่ติดเชื้อ ทำให้การรับประทานหมูปลอดภัยอย่างแน่นอน และอยากให้รักษาตัวเองให้มีสุขภาพแข็งแรง จะได้ไม่มีปัญหากับการติดโรคไข้หวัด และหากผู้ใดติดโรคหวัด ก็ควรรักษาตัวเองให้หาย ไม่ควรอกไปในที่สาธารณะเพื่อป้องกันการแพร่เชื่อสู่คนอื่น

บัวแก้วสั่งทูตไทยประจำแม็กซิโกติดตามอย่างใกล้ชิด

นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ในขณะนี้ คนไทยที่อาศัยในประเทศแม็กซิโก 105 คน ยังไม่มีบุคคลใดยื่นต่อสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงแม็กซิโกซิตี้ ในการร้องขอเดินทางกลับประเทศ ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดไข้หวัดหมู โดยทางสถานทูตได้ให้คนไทยที่ติดแจ้งที่อยู่ให้ชัดเจน เพื่อติดต่อหากสถานการณ์เลวร้ายลง อีกทั้งกระทรวงการต่างประเทศได้สั่งการสถานทูตได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดดังกล่าวอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ทางสถานกงสุลใหญ่ไทย ประจำนครลอสแอลเจอลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดส่งหน้ากากปิดจมูกให้กับสถานทูตไทยที่แม็กซิโก สำหรับแจกจ่ายให้กับคนไทยได้ใช้ในการป้องกันในเบื้องต้นแล้ว




แหล่งที่มา
http://province.moph.go.th/singburi/moph/aids/aidswhat2.html

ความเป็นมาของโรคเอดส์
1. โรคเอดส์ค้นพบเมื่อใด
โรคเอดส์เป็นโรคที่ค้นพบ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2524ในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยพบว่าผู้ป่วยรายแรกที่พบนี้มีอาการป่วยที่แตกต่างจากผู้ป่วยอื่นๆและมีภูมิคุ้มกันปกติ และต่อมาได้พบผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการเช่นเดียวกับผู้ป่วยรายนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

2. โรคเอดส์มีต้นกำเนิดมาจากประเทศใด
มีหลักฐานรายงานว่าโรคเอดส์มีต้นกำเนิดมาจากประเทศในทวีปแอฟริกา ซึ่งเชื่อกันว่ามีผู้ป่วยตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2520 แล้วมีการแพร่กระจายไปยังเกาะไฮติซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของทวีปอเมริกา ต่อมามีการแพร่ระบาดขึ้นในทวีปอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี และประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย เช่น นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก แล้วจึงมีการแพร่กระจายไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยจนถึงปัจจุบันมีรายงานว่ามีมากกว่า 163 ประเทศที่พบโรคเอดส์ในประเทศของตนแล้ว

3. โรคเอดส์พบครั้งแรกในประเทศใด
โรคเอดส์พบครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1981 (พ.ศ.2524) โดยเมื่อเดือนมิถุนายน ศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐฯได้รับรายงานจากนครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ว่ามีชายหนุ่มรักร่วมเพศ 5 คนป่วยเป็นปอดบวมจากเชื้อแปลกๆ ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Pneumocystis Carinii Pneumonia ภายในอีก 1 เดือนต่อมา มีรายงานจากนิวยอร์ก และแคลิฟอร์เนียว่ามีชายรักร่วมเพศอีก 26 ราย ป่วยเป็นโรคมะเร็ง Kaposi’s Sarcoma ซึ่งตามปกติเป็นในคนอายุมากหรือคนที่มีภูมิคุ้มกันของร่างกายเสียไป และยังมีผู้ป่วยอีกหลายราย เป็นโรคปอดบวม และติดเชื้อชนิดฉวยโอกาส ชายหนุ่มที่ป่วยทุกรายไม่มีรายใดที่มีโรคร้ายแรงประจำตัวมาก่อน และไม่มีรายใดที่เคยได้รับยาประเภทกดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และทุกรายเมื่อได้รับการตรวจชันสูตรทางห้องปฏิบัติการพบว่าการทำงานของเซลล์ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับภูมิต้านทานโรคเสียไปไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ และในที่สุดผู้ป่วยเหล่านี้ก็เสียชีวิตเพราะระบบภูมิคุ้มกันโรคบกพร่อง หลังจากนั้นการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ในขณะนั้นยังไม่มีใครทราบสาเหตุว่าเกิดจากเชื้อชนิดใด

4. ใครเป็นผู้ค้นพบเชื้อเอดส์เป็นคนแรก
ผู้ค้นพบเชื้อเอดส์เป็นคนแรกเป็นชาวฝรั่งเศสชื่อ Luc Montagnier และคณะโดยสามารถแยกเชื้อได้จากต่อมน้ำเหลืองของคนไข้ที่เป็นรักร่วมเพศ และป่วยเป็นโรคเอดส์ในปี ค.ศ. 1983 (พ.ศ.2526) และให้ชื่อไวรัสนี้ว่า Lymphadenopathy Associated Virus หรือ (LAV)และในปี พ.ศ.2527 Robert Gallo และคณะแพทย์จากสหรัฐอเมริกา ก็สามารถแยกเชื้อเอดส์ได้จากเม็ดเลือดขาว ของคนไข้โรคเอดส์และตั้งชื่อว่า Human T-cell Lymphotropic Virus Type lll(HTLV-lll) ต่อมาพบว่า LAV และ HTLY-lll เป็นไวรัสตัวเดียวกัน แต่มีการเรียกชื่อที่แตกต่างกันไป จึงได้ตกลงตั้งชื่อเรียกเป็นสากลว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV)

5. เชื้อเอดส์มาจากไหน
เชื้อเอดส์
หรือ HIV เป็นไวรัสในกลุ่ม Retrovirus สันนิษฐานว่าเป็นไวรัสที่มีการพัฒนาตัวเองมาจากไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเฉพาะในสัตว์เท่านั้น และไม่สามารถทำให้เกิดโรคในคนได้ แต่ต่อมามีการพัฒนาขึ้น และค่อยๆ ทำให้เกิดโรคในสัตว์ที่ใกล้เคียงกับคน เช่น ลิง โดยเฉพาะลิงเขียว ในทวีปแอฟริกา (Afarican green monkey) หลังจากนั้นไวรัสเหล่านี้อาจติดมาในคน ในระยะแรกเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดมะเร็งของต่อมน้ำเหลืองในคน ต่อมาจึงเกิดเป็นโรคเอดส์ที่เป็นเฉพาะในคนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานยืนยันที่มาของเชื้อเอดส์อย่างชัดเจน










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น